chat

ไขมันพอกตับ กับโรคอ้วน

โรคอ้วนไขมันพอกตับ

โรคไขมันพอกตับ (fatty liver disease) กลุ่มของโรคที่เกิดจากการสะสมไขมันในตับ และเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดที่ทำให้ผลการตรวจการทำงานของตับผิดปกติเล็กน้อย มักไม่แสดงอาการ พบได้บ่อยเมื่อตรวจสุขภาพ แต่ถ้าไม่รับการดูแลและเฝ้าระวัง อาจทำให้ก็ภาวะแทรกซ้อน และโรคตับแข็ง และมะเร็งตับได้ในอนาคต

สาเหตุของโรคไขมันพอกตับ

สาเหตุของโรคไขมันพอกตับสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

  • จากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ (alcoholic fatty liver disease) ความรุนแรงของโรคจะขึ้นกับประเภท ปริมาณ และระยะเวลาที่ดื่มแอลกอฮอล์
  • ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (non-alcoholic fatty liver disease) โดยมีผลจากโรคที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานของร่างกาย เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ไวรัสตับอักเสบซี

กลไกการเกิดโรคไขมันพอกตับ

ตับทำหน้าที่เก็บสะสมพลังงาน การรับประทานอาหารมากเกินไปทำให้เกิดไขมันก่อตัวขึ้นในตับ เมื่อตับไม่ได้นำไขมันไปใช้หรือไม่ย่อยสลายไขมันตามที่ควรจะเป็นก็จะเกิดไขมันสะสมขึ้นที่ตับ

โรคที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิด โรคไขมันเกาะตับได้ เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ภาวะน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง รวมถึงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากเกินไป

ปัจจัยเสี่ยงของโรคไขมันพอกตับ

  • โรคอ้วน ประมาณร้อยละ 20 ของคนที่เป็นโรคอ้วนจะมีโรคไขมันพอกตับอยู่ด้วย
  • น้ำหนักตัวมากเกิน (ดัชนีมวลกายหรือ BMI 23-25) ค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 25 แปลว่าอ้วน
  • เบาหวาน
  • ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มาก
  • รับประทานอาหารที่ ไขมัน และพลังงานสูง
  • รับประทานอาหารที่มีรสหวานมากเกินไป
  • พฤติกรรมเสี่ยง : ออกกำลังกายน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอ

อาการและอาการแสดง

โดยทั่วไปโรคไขมันพอกตับไม่ทำให้เกิดอาการทางร่างกาย หรือหากมีอาการก็อาจเป็นอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจงมากพอที่จะบ่งบอกโรคได้ เช่น อ่อนเพลีย คลื่นไส้เล็กน้อย รู้สึกตึงบริเวณใต้ชายโครงขวา โดยส่วนใหญ่การตรวจพบโรคไขมันพอกตับจึงมักพบเมื่อผู้ป่วยเข้ารับการเจาะเลือดตรวจสุขภาพประจำปีหรือตรวจทางการแพทย์ด้วยเหตุผลอื่นๆ

ไขมันพอกตับ” แบ่งออกเป็น 4 ระยะ

- ระยะแรก...เป็นช่วงที่ไขมันมีการสะสมในเนื้อตับ แต่ยังไม่มีการอักเสบเกิดขึ้นภายในตับ

- ระยะที่สอง...เมื่อมีการสะสมต่อเนื่อง ตับจึงเริ่มเข้าสู่ภาวะของการอักเสบ...และหากปล่อยไปเรื่อยๆ อาจกลายเป็น “ตับอักเสบเรื้อรัง”

- ระยะที่สาม...หลังเกิดภาวะการอักเสบรุนแรงหรือเกิดพังผืดสะสม เซลล์ตับจะค่อยๆ ถูกทำลาย

- ระยะที่สี่...เมื่อเซลล์ตับถูกทำลาย ทำให้ตับไม่สามารถทำงานได้...และเกิดเป็น “ภาวะตับแข็ง” หรือ “โรคมะเร็งตับ” ในที่สุด!!

แนวทางในการป้องกันและลดความเสี่ยงจากโรคไขมันพอกตับ

  • ถ้ามีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน ควรลดน้ำหนัก โดยให้น้ำหนักตัวลดลงจากเดิมร้อยละ 7-10
  • ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย 200-250 นาทีสัปดาห์ ควรออกกำลังกายทั้งแบบแอโรบิก เช่น เดินเร็วครึ่งชั่วโมง ปั่นจักรยาน
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น อาหารที่มีไขมันต่ำ กากใยสูง และให้พลังงานต่ำ
  • ควรควบคุมโรคให้ดี ถ้ามีโรคร่วม เช่น โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ด้วยการรับประทานยาตามแพทย์สั่ง ควบคุมอาหาร และออกกำลังกาย พบแพทย์ตามนัด สม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ พบแพทย์เป็นประจำตามแพทย์นัดเมื่อต้องตรวจติดตามโรค

บทความโดย : พญ.กัลยาณี พรโกเมธกุล แพทย์ประจำศูนย์ทางเดินอาหารและตับ