chat

โรคไข้เลือดออก


             เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัสเด็งกี่ โดยติดต่อผ่านทางการกัดของยุงลาย โดยเมื่อยุงลายไปกัดผู้ป่วยแล้ว เชื้อไวรัสในเลือดจะเข้าไปแบ่งตัวที่กระเพาะอาหารของยุง จากนั้นก็ไปอยู่ที่ต่อมน้ำลายของยุงก่อนที่จะถูกปล่อยเข้าไปสู่ร่างกายของผู้ที่ถูกกัดถัด ๆ ไป ซึ่งเมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้ว ในเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ก็จะเกิดอาการของโรคได้ ถือเป็นโรคที่มีความสำคัญเนื่องจากอาการในช่วงเริ่มแรกนั้นแยกออกจากการติดเชื้ออื่น ๆ ได้ยาก และในรายที่มีอาการรุนแรงก็ถึงขั้นเสียชีวิตได้ อาการของไข้เลือดออก อาการจะเกิดหลังจากรับเชื้อไปประมาณ 3-7 วัน โดยจะเริ่มด้วยอาการไข้ และอาการของการติดเชื้อไวรัส เช่น อาการปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ในรายที่เป็นไข้เลือดออกชนิดรุนแรง ก็จะเกิดอาการตับอักเสบตับโต ความดันผิดปกติ และเลือดออกได้
         ไข้ : เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดของไข้เลือดออก โดยไข้มักจะเป็นไข้สูงตลอดทั้งวัน ปวดกล้ามเนื้อ : อาการปวดในไข้เลือดออกมักจะเป็นอาการปวดศีรษะ กระบอกตา ปวดตามกล้ามเนื้อและข้อ ในบางกรณีจะปวดรุนแรงจนบางคนเรียกว่าปวดเข้ากระดูก คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย : ช่วงที่มีไข้ ผู้ป่วยบางรายจะมีอาการของระบบทางเดินอาหารเหล่านี้ได้ ทำให้เกิดอาการเบื่ออาหารอ่อนเพลีย ปวดท้อง : อาการปวดท้องในไข้เลือดออก พบได้หลายแบบ เช่น การปวดชายโครงขวาบริเวณตำแหน่งของตับ โดยเชื้อไวรัสไปทำให้เกิดการอักเสบและโตขึ้นที่บริเวณตับ , การปวดมวนท้องที่เกิดพร้อมกับอาการอาเจียนท้องเสียของไข้เลือดออก เลือดออก : เชื้อไข้เลือดออกจะไปทำให้ผนังเส้นเลือดผิดปกติไปและทำให้เกล็ดเลือดในร่างกายลดลง ดังนั้นอาจจะพบจุดจ้ำเลือดขนาดเล็ก ๆ ตามร่างกายได้ ในรายที่เป็นมากอาจจะเกิดเลือดออกให้เห็นได้ เช่น อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด หรือเลือดออกในอวัยวะสำคัญเช่นสมอง ความดันโลหิตผิดปกติ : ในผู้ป่วยที่เป็นไข้เลือดออกรุนแรง จะเกิดความผิดปกติของเส้นเลือดทำให้ความดันโลหิตลดลงอย่างรุนแรงได้ รวมทั้งในบางรายที่มีภาวะขาดน้ำหรือมีภาวะเลือดออก ก็เกิดความดันโลหิตต่ำลงได้เช่นเดียวกัน ซึ่งความดันโลหิตผิดปกตินี้ถือเป็นอาการที่น่ากลัวเนื่องจากจะนำไปสู่ภาวะอวัยวะล้มเหลวและเสียชีวิตได้
การตรวจวินิจฉัย
            เนื่องจากไข้เลือดออกเป็นโรคที่มีอาการที่ไม่จำเพาะ แยกออกจากโรคอื่นได้ยาก จึงมีวิธีการตรวจอื่นๆเพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรคแยกจากโรคอื่น ๆ เช่น การตรวจ Tourniquet test : เป็นการใช้เครื่องวัดความดันโลหิตรัดแขนด้วยความดันและระยะเวลาที่เหมาะสม จากนั้นทำการนับจุดเลือดออกที่ปรากฏขึ้น การตรวจเม็ดเลือด : โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยไข้เลือดออกจะมีเม็ดเลือดขาวและเกร็ดเลือดที่ต่ำลงหลังจากการเป็นไข้ประมาณ 3 วัน การตรวจหาสารพันธุกรรมและการตรวจทางภูมิคุ้มกันวิทยา : เป็นการตรวจหาส่วนประกอบของเชื้อหรือภูมิคุ้มกันของร่างกายที่เกิดขึ้นตามหลังการติดเชื้อ มักใช้ในกรณีที่อาการไม่ชัดเจนหรือต้องการแยกจากโรคอื่น ๆ ที่อาการคล้ายคลึงกับไข้เลือดออก
การรักษา
              แม้ว่าจะเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มียาที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อนี้ได้ การรักษาเป็นการรักษาอาการที่เกิดขึ้นและเฝ้าระวังอาการของไข้เลือดออกแบบรุนแรงซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะได้มีการจัดการที่รวดเร็วและถูกต้อง ผู้ป่วยที่เป็นไข้เลือดออกจะมีไข้ขึ้นสูงได้ ซึ่งการลดไข้ทำได้โดยการให้อยู่ในที่อากาศถ่ายเทไม่ร้อนอบอ้าว เช็ดตัวเป็นระยะ และดื่มน้ำให้เพียงพอ การใช้ยาลดไข้ ควรใช้เฉพาะพาราเซตามอล เนื่องจากไม่กัดกระเพาะอาหาร ควรใช้ในขนาดที่กำหนดและไม่ใช้มากเกินไปเพราะอาจมีผลต่อตับได้ และหลีกเลี่ยงยาลดไข้สูงบางชนิดเนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดแผลในทางเดินอาหารและเลือดออกผิดปกติได้ ในกรณีที่มีอาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียน ควรให้รับประทานอาหารอ่อนและจิบน้ำเกลือแร่เป็นระยะ
             สำหรับผู้ที่มีอาการมากหรือผู้ที่แพทย์สงสัยว่าจะมีอาการรุนแรง ก็จะมีการสังเกตอาการในโรงพยาบาลเพื่อปรับการให้สารน้ำให้เหมาะสม ให้ยาบรรเทาอาการ ตรวจร่างกายและตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนของไข้เลือดออกที่อาจจะเกิดขึ้นได้
บทความโดย... นายแพทย์พิรัตน์ โลกาพัฒนา แพทย์ผู้ชำนาญการด้านอายุรศาสตร์