chat

โรคลิชมาเนีย


“โรคลิชมาเนีย” (Leishmaniasis) ได้รับการประกาศโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ให้เป็นหนึ่งในโรคติดต่อซึ่งแพร่ระบาดในเขตร้อนชื้น รวมไปถึงบริเวณป่าที่มีฝนตกชุก องค์การอนามัยโลกกำหนดให้เป็น 1 ใน 6 ของโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ของโรคเขตร้อน เกิดจากริ้นฝอยทรายดูดเลือดสัตว์เป็นอาหาร ไปกัดสัตว์ที่มีเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ จากนั้นนำเชื้อไปสู่คน ปัจจุบันในประเทศไทยพบผู้ป่วยประมาณ 40 กว่าราย แม้จะเป็นจำนวนที่ไม่เยอะ แต่พบผู้เสียชีวิตจากโรคล่าสุดปี 2568 จำนวน 2 ราย ที่จังหวัดสงขลา 1 ราย และกรุงเทพมหานคร 1 ราย เราจึงควรเฝ้าระวัง หากปรากฏอาการต้องสงสัยควรมาพบแพทย์โดยด่วน

โรคลิชมาเนียคืออะไร?
อาการของโรคลิชมาเนีย
การวินิจฉัยโรคลิชมาเนีย
แนวทางการป้องกันโรคลิชมาเนีย
แนวทางการรักษาโรคลิชมาเนีย
Q&A หลากคำถาม มีคำตอบ เกี่ยวกับโรคลิชมาเนีย

โรคลิชมาเนียคืออะไร?

โรคลิชมาเนีย (Leishmaniasis) เกิดจากการติดเชื้อปรสิตลิชมาเนีย (Leishmania spp.) หลังถูกริ้นฝอยทราย (Sandfilesที่เป็นพาหะของเชื้อกัด รูปร่างคล้ายยุง มักอาศัยอยู่ตามพื้นที่เกษตรกรรมที่มีต้นไม้เยอะ อากาศร้อนชื้น รวมถึงพื้นที่ป่า

โรคลิชมาเนีย

ผู้ป่วยแต่ละรายจะแสดงอาการแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ของเชื้อที่เข้าสู่ร่างกาย เช่น มีแผลเปื่อยบริเวณผิวหนัง สามารถหายได้เอง ไปจนถึงเยื่อบุบริเวณปากและจมูก แต่ที่มีอาการรุนแรงที่สุด คือ การติดเชื้อที่อวัยวะภายใน โดยผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย ตับและม้ามโตขึ้น และเซลล์เม็ดเลือดต่ำลงผิดปกติ หลังถูกกัดมีระยะฟักตัว 2-3 วัน/สัปดาห์/หรือเป็นปี เชื้อปรสิตนี้จะเข้าไปอยู่ในเม็ดเลือดขาว Macrophage เชื้อจะแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เม็ดเลือดขาวแตก จนเชื้อแพร่กระจายสู่เม็ดเลือดขาวเซลล์อื่นๆต่อไป

โรคลิชมาเนีย

อาการของโรคลิชมาเนีย

เกิดแผลที่ผิวหนัง มีตุ่มนูนพองใสและแดง อาจเป็นได้ทั้งแผลเปียกและแผลแห้ง แผลมักมีขอบ อาจเป็นแผลเดียวหรือหลายแผล แผลลุกลามรวมกันเป็นแผลใหญ่ได้ หรืออาจเป็นตุ่มๆ กระจายทั่วตัว

โรคลิชมาเนีย

เกิดแผลที่เยื่อบุบริเวณปากและจมูก เป็นแผลตามใบหน้าโพรงจมูก ปาก และลำคอ อาจทำให้รูปหน้าผิดไปจากเดิม

มีไข้เรื้อรังนานกว่า 10 วัน ผอม ซีด ม้ามโต ตับโต

โรคลิชมาเนีย

มีไข้ ซีด อ่อนเพลีย น้ำหนักลดลง มีภาวะเลือดออกในที่ต่าง ๆ เช่น จมูก ไรฟัน กระเพาะอาหาร พบจุดเลือดออกตามตัว มีภาวะซีด คลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องอืด ผิวหนังแห้ง มีอาการบวม ต่อมน้ำเหลืองโต

การวินิจฉัยโรคลิชมาเนีย

ตรวจแผลหารอยแมลงกัดตามร่างกาย ขูดผิวหนังบริเวณที่สงสัย นำมาย้อมสีจิมซ่า (Giemsa) และตรวจหาเชื้อด้วยกล้องจุลทรรศน์

ฉีดแอนติเจนเข้าใต้ผิวหนังแล้วดูปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกาย (skin test)

เจาะตรวจไขกระดูกหรือตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ

แนวทางการป้องกันโรคลิชมาเนีย
โรคลิชมาเนีย

ป้องกันตนเองอย่าให้ริ้นฝอยทรายกัด โดยเฉพาะช่วงพลบค่ำที่แมลงชนิดนี้ออกหากิน เช่น ทายากันยุง สวมเสื้อผ้าปกปิดมิดชิดเมื่อต้องเข้าป่าหรือพื้นที่เกษตรกรรม

โรคลิชมาเนีย

นอนกางมุ้ง ฉีดพ่นสเปรย์กำจัดยุงและแมลงภายในบ้าน ไม่เปิดโอกาสให้ยุงหรือริ้นฝอยทรายกัด

โรคลิชมาเนีย

หลีกเลี่ยงเดินทางไปยังประเทศที่มีการแพร่ระบาดของโรคลิชมาเนีย โดยเฉพาะและคนไทยมุสลิมที่ไปร่วมพิธีฮัจญ์ ณ ประเทศซาอุดีอาระเบียและแรงงานที่กลับมาจากแหล่งโรคในประเทศตะวันออกกลางมีความเสี่ยงติดเชื้อดังกล่าวได้

แนวทางการรักษาโรคลิชมาเนีย

การรักษาโรคลิชมาเนียในปัจจุบันจะใช้ยากลุ่มต้านเชื้อรา เช่น Pentavalent antimoniasis รวมไปถึงการผ่าตัด การรักษาตามอาการ เช่น ให้เลือดหากซีดมาก ปัจจุบันองค์การอนามัยโลกแนะนำให้ใช้ Liposornal Amphotericin B ชนิดฉีดครั้งเดียว ในการรักษาผู้ป่วยลิชมาเนีย แต่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังและอยู่ในความดูแลของแพทย์

หลากคำถาม มีคำตอบ เกี่ยวกับโรคลิชมาเนีย "เกี่ยวกับโรคลิชมาเนีย"

ถาม ตอบ

นอกจากริ้นฝอยทรายแล้วยังมีแมลงชนิดไหนเป็นสัตว์พาหะของโรคลิชมาเนียอีกบ้าง?

ริ้นน้ำเค็ม (Biting midges) ซึ่งพบในประเทศไทยสามารถเป็นพาหะนำโรคลิชมาเนียได้ด้วย รวมทั้งสัตว์เลี้ยง และสัตว์ปศุสัตว์ เช่น หนู สุนัข แมว ม้า วัว กระรอก และกระแต เป็นต้น ยังสามารถเป็นรังโรค ทำให้การระบาดของเชื้อเป็นไปอย่างรวดเร็วหากไม่มีการเฝ้าระวังที่ดี

ถาม ตอบ

ผู้ป่วยกลุ่มใดที่มีความเสี่ยงแสดงอาการรุนแรง?

กลุ่มผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ป่วยเอดส์ รวมถึงผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาสเตียรอยด์มีความเสี่ยงสูงที่จะแสดงอาการรุนแรงกว่าผู้ที่มีภูมิคุ้มกันปกติ

บทความโดย นพ.เอกวิทย์ เกวลินสฤษดิ์