chat

เลเซอร์บิกินี่ไลน์…เพราะจุดซ่อนเร้นต้องการการดูแลเป็นพิเศษ


ทำไมต้องเลเซอร์บิกินี่ไลน์

ผู้หญิงส่วนใหญ่มีประสบการณ์กับการกำจัดและตกแต่งขนบริเวณจุดซ่อนเร้น ไม่ว่าจะเป็นการโกน การแว็กซ์ การใช้ครีมกำจัดขน หรือแม้กระทั่งการถอน ซึ่งวิธีเหล่านี้เป็นการกำจัดขนชั่วคราว และมักทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น บอบช้ำบริเวณผิวหนัง เกิดการระคายเคือง ผื่นแพ้ บวม แดง เป็นตุ่ม และเกิดอาการคัน รวมถึงทำให้เกิดขนคุด หลายคนจึงหันมามองวิธีการกำจัดขนแบบถาวร ด้วยการทำเลเซอร์บิกินี่ไลน์

" เพราะจุดซ่อนเร้นเป็นบริเวณที่บอบบาง ผู้หญิงอย่างเราจึงต้องการการดูแลรักษาเป็นพิเศษ ทั้งเรื่องความสะอาด ความอับชื้น กลิ่นไม่พึงประสงค์ ประสิทธิำาพในการใช้งาน รวมถึงรูปร่างหน้าตาและความสวยงามบริเวณจุดซ่อนเร้น การกำจัดและตกแต่งขนบริเวณดังกล่าวจึงเป็นอีกหนึงกิจวัตรความงามของผู้หญิงที่ต้องหมั่นดูแลเพื่อให้เกิดความัม่นใจจากภายในสู่ภายนอก "

เลเซอร์บิกินี่ไลน์ทำงานอย่างไร

เลเซอร์ที่นำมาใช้ในการกำจัดขนบริเวณจุดซ่อนเร้นหรือบิกินี่ไลน์ คือ Long Pulsed Nd YAG Laser โดยหัวเลเซอร์จะมีขนาดประมาณ 10-18 มิลลิเมตร ในการยิง 1 ครั้ง (Shot) จะสามารถทำลายรากขนได้จำนวนหลายเส้น (พื้นที่ 1 ตารางเซนติเมตร จะมีขนประมาณ 80 เส้น) โดยแพทย์ทายาชาบริเวณที่จะทำก่อนยิงเลเซอร์ จากนั้นรอยาออกฤทธิ์ประมาณ 30-60 นาที แล้วจึงทำการยิงพลังงานเลเซอร์ผ่านผิวหนัง พลังงานเลเซอร์จะทำงานโดยไปจับกับเม็ดสี (Pigment) ที่อยู่ในรากขน และเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนภายในเสี้ยววินาที เพื่อทำลายเส้นขนตลอดจนรากขนที่ทำหน้าที่สร้างเส้นขน โดยทั่วไปการยิงเลเซอร์ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ต้องการทำเลเซอร์กำจัดขน

ผลลัพธ์หลังการรักษา

หลังทำอาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้น เช่น รอยแดง ประมาณ 1 วัน หลังจากนั้นจะหายได้เอง ในการทำเลเซอร์กำจัดขนแต่ละครั้ง ปริมาณขนจะลดลงประมาณร้อยละ 10-20 โดยทั่วไปควรทำเลเซอร์ประมาณ 3-5 ครั้ง เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดี สำหรับคนที่ต้องการให้ผิวเรียบเนียนควรทำประมาณ 5-8 ครั้ง หรือจนกว่าจะพอใจ ทั้งนี้ ผลการรักษาขึ้นอยู่กับสีผิว สีของเส้นขน ความหนาแน่นของเส้นขน และความแข็งแรงของรากขน และเนื่องจากการกำจัดขนด้วยเลเซอร์อาศัยหลักการจับกับเม็ดสี (Pigment) ภายในรากขน ดังนั้น ก่อนการทำเลเซอร์ควรหยุดกำจัดขนด้วยตัวเองก่อน เพื่อให้การทำเลเซอร์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น