chat

SCULPTRA กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิว

เมื่ออายุเข้าสู่วัยกลางคนกลไกการผลิตคอลลาเจนตามธรรมชาติในชั้นหนังแท้จะลดลงไปถึง 1 ใน 5 และเมื่อใกล้เข้าสู่วัยผู้สูงอายุ คอลลาเจนจะหายไปถึง 1 ใน 3 ส่งผลให้เกิดปัญหาผิวหย่อนคล้อย ผิวอ่อนแอไม่ยืดหยุ่น และเกิดริ้วรอยทั้งบริเวณหน้าผาก ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และตีนกา ผิวไม่กระชับและยืดหยุ่นเหมือนเดิม จึงจำเป็นต้องกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวให้ใบหน้ากลับมาเปล่งปลั่งตึงกระชับ ดูมีน้ำมีนวลด้วนวัตกรรม “SCULPTRA”

ราคาการฉีด SCULPTRA ที่โรงพยาบาลยันฮี

“SCULPTRA” คืออะไร?

กลไกการทำงานของ SCULPTRA

ผลลัพธ์ที่ได้หลังจากฉีด SCULPTRA

SCULPTRA เหมาะกับใคร?

รีวิวการฉีด SCULPTRA ที่โรงพยาบาลยันฮี

Q&A หลากคำถาม มีคำตอบ เกี่ยวกับ “การฉีด SCULPTRA” ที่โรงพยาบาลยันฮี

“SCULPTRA” คืออะไร?

“SCULPTRA” คือ สารกำเนิดคอลลาเจนในรูปแบบฉีดที่ประกอบด้วยอนุภาคของ PLLA (Poly-L-Lactic Acid) มีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เติมเต็ม และยกกระชับใบหน้า สามารถอยู่ได้นานถึง 2 ปี โดยมุ่งเน้นกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนชนิดที่ 1 (Collagen Type I) ได้ดีมากเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นหนึ่งในคอลลาเจนมากกว่า 16 ชนิดที่ร่างกายผลิตได้ พบมากกว่าร้อยละ 90 ของปริมาณคอลลาเจนทั้งหมดในร่างกาย ช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่น ช่วยสมานแผล สามารถพบได้ทั้งในผิวหนัง เส้นผม กระดูก เนื้อเยื่อ และผนังหลอดเลือด โดย SCULPTRA สามารถกระตุ้นให้เกิดการผลิตคอลลาเจนชนิดที่ 1 ได้มากถึงร้อยละ 66.5 หลังจากฉีดไปแล้ว 3 เดือน

ทั้งนี้ PLLA ถือเป็นสารกลุ่มกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน หรือ “ไบโอสติมูเลเตอร์” (Biostimulator) ตัวแรก ที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ในสหรัฐอเมริกามาตั้งแต่ปี 1999 เป็นสารสังเคราะห์จากพืชตามธรรมชาติที่ไม่ส่งผลข้างเคียงต่อร่างกาย มีความปลอดภัย สามารถย่อยสลายได้ในร่างกาย ใช้ในการผลิตเป็นไหมละลาย เป็นน็อต หรือแผ่นเพลทที่ใช้ในการยึดกระดูกด้วย ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างใต้ชั้นลึกของผิว เพื่อยกกระชับและลดริ้วรอย ทำให้อายุผิวดูอ่อนเยาว์ลงกว่าอายุจริง

กลไกการทำงานของ SCULPTRA

SCULPTRA จะถูกผสมด้วย Sterile water ก่อนนำไปฉีดเข้าผิวชั้น Subcutaneous บริเวณขมับ หน้าแก้ม ใต้โหนกแก้มด้านข้าง เป็นหลัก ตัวยาจะกระจายตัวไปทั่วชั้นผิว สาร PLLA จะไปเพิ่มปริมาณเซลล์ ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ซึ่งเป็นเซลล์ที่เป็นตัวสร้างโปรตีนสองชนิด คือ คอลลาเจนและอิลาสติน ช่วยสร้างความแข็งแรงให้โครงสร้างผิวภายใน คอยพยุงผิวหนังชั้นเดอมิส (dermis) หรือผิวหนังชั้นกลางที่ประกอบด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพันยืดหยุ่น ในบริเวณตรงนี้จะพบเซลล์ไฟโบรบลาสท์จำนวนมาก นอกจากนี้ สาร PLLA จะเปลี่ยนแปลงเป็นกรดแล็กทิก (Lactic acid) เป็นกรดอยู่ในตระกูลเดียวกันกับ AHA ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วให้เผยผิวใหม่ที่กระจ่างใสและเนียนนุ่ม ไปกระตุ้นขบวนการสังเคราะห์เส้นใยคอลลาเจน ผ่านเม็ดเลือดขาวที่เรียกว่า “แมคโครฟาจ” (Macrophage) ซึ่งเป็นเม็ดเลือดขาวชนิดที่คอยขจัดสิ่งแปลกปลอมที่หลุดรอดเข้าไปในร่างกายมาช่วยในการทำงาน ส่งผลให้ PLLA ค่อย ๆ สลายไป แต่การสะสมของคอลลาเจนยังคงอยู่ จึงสามารถช่วยลบเลือนริ้วรอยให้ดูจางลง รอยเหี่ยวย่นหรือหลุมลึกดูตื้นขึ้น สามารถรู้สึกได้ตั้งแต่สัปดาห์แรกหลังรับการรักษาและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ปัญหาผิวหย่อนคล่อย
ผิวอ่อนแอไม่ยืดหยุ่น
และเกิดริ้วรอย

ฉีด SCULPTRA ลงใต้ชั้นผิว
ในระดับความลึก
1.5-2 มิลลิเมตร

คืนความอ่อนเยาว์
และแก้ปัญหาริ้วรอย
ให้เจือจางลงชั้นผิว

ขั้นตอนการฉีด SCULPTRA

เข้ารับการตรวจ ประเมินสภาพผิวโดยแพทย์ผิวหนัง

ทายาชา ในบริเวณที่ฉีดประมาณ 45 นาที ขณะที่ทายาชา

แพทย์เตรียม SCULPTRA ให้อยู่ในรูป Active form โดยผสม SCULPTRA เข้ากับน้ำกลั่นปราศจากเชื้อ (Sterile water)

แพทย์ฉีด SCULPTRA ลงใต้ชั้นผิวในระดับความลึก 1.5-2 มิลลิเมตร ด้วยเข็มทู่ขนาด 22-25 G

นวดหน้าเพื่อให้ยากระจายตัว ไปช่วยกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว

ผลลัพธ์ที่ได้หลังจากฉีด SCULPTRA

กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวเพื่อคืนความอ่อนเยาว์และแก้ไขปัญหาริ้วรอยให้เจือจางลง

ใบหน้ายกกระชับและเรียบเนียนขึ้น ผิวเกิดความยืดหยุ่น ผิวดูชุ่มชื้นเปล่งปลั่ง

ผลลัพธ์หลังการฉีดสามารถคงสภาพได้ยาวนานกว่า 2 ปี

การดูแลตัวเองหลังจากฉีด SCULPTRA

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังจากฉีด SCULPTRA จะมีอาการคล้ายกับการฉีดฟิลเลอร์ เช่น เกิดรอยแดง ช้ำบวม ใช้นิ้วกดแล้วรู้สึกชาเจ็บบริเวณที่ฉีด ส่วนใหญ่จะหายไปเองหลังประคบเย็นภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง หรือ 2-3 วันหลังฉีด คนไข้บางรายที่ผิวช้ำง่ายอาจคงอาการนานถึง 2 สัปดาห์ได้ สำหรับการดูแลตัวเองหลังทำหัตถการ แนะนำให้ประคบเย็นบริเวณที่ฉีดเพื่อลดอาการบวมช้ำหรือเกิดรอยแดง หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก และหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดจัดภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังฉีด หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดมาก สีผิวบริเวณที่ฉีดเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างผิดปกติ ให้แจ้งแพทย์ทันที สามารถแต่งหน้าได้หลังฉีดทันทีภายใน 2-3 ชั่วโมง และสามารถทำหัตถการประเภทอื่นได้ในบริเวณเดียวกันหลังฉีด SCULPTRA ไปแล้ว 4 สัปดาห์

SCULPTRA เหมาะกับใคร?

ผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย ไม่กระชับ และมีริ้วรอยทั้งบริเวณหน้าผาก ใต้ตามีร่องลึก มีร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ใต้คาง หรือทั่วใบหน้า อันเกิดจากกลไกการผลิตคอลลาเจนของร่างกายตามธรรมชาติเสื่อมสภาพลงจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น หรือเกิดจากความเครียด การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือไม่มีเวลาออกกำลังกาย จนสุขภาพผิวเสื่อมลง

ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิวโดยใช้สารสกัดจากธรรมชาติ ที่มีความปลอดภัยและไม่เกิดผลกระทบต่อร่างกาย ได้รับการรับรองโดยสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคด้านอาหารและยาทั้งของไทยและต่างประเทศที่มีมาตรฐาน

ผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์หลังทำหัตถการอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่สามารถรักษาสภาพผิวได้ยาวนานกว่า 2 ปี

ผู้ที่ต้องการปรนนิบัติผิวให้เปล่งปลั่งกระจ่างใส เปลี่ยนผิวหน้าที่เคยหมองคล้ำและแห้งกร้านให้กลับมาชุ่มชื้น อิ่มฟู ดูมีน้ำมีนวล

ตารางเทียบเคียง SCULPTRA กับหัตถการอื่นในกลุ่มกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของโรงพยาบาลยันฮี

ราคาการฉีด SCULPTRA ที่โรงพยาบาลยันฮี

1 ขวด

38,000 บาท

2 ขวด

74,000 บาท

รีวิวการฉีด SCULPTRA ที่โรงพยาบาลยันฮี



Q&A หลากคำถาม มีคำตอบ เกี่ยวกับ “การฉีด SCULPTRA” ที่โรงพยาบาลยันฮี

ถาม
ตอบ

การฉีดสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน SCULPTRA มีความแตกต่างกับการฉีดสารฟีลเลอร์อย่างไร?

สามารถจำแนกความแตกต่างได้จาก 5 ตัวแปรย่อย ประกอบด้วย 1) ระยะเวลาในการเห็นผลลัพธ์ การฉีด SCULPTRA จะไม่ได้เห็นผลทันทีเหมือนกับการฉีดฟิลเลอร์ โดยจะค่อย ๆ เห็นผลอย่างค่อยเป็นค่อยไป ใช้เวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์จึงจะเริ่มเห็นผล หลังการฉีด 2-3 วันจะเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงว่า บริเวณที่ฉีดมีการอิ่มฟูขึ้น ในเข็มแรกผลลัพธ์จะเกิดขึ้นไม่ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับสภาพผิวเดิมและปัญหาผิวว่ามีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด ขณะที่ฟิลเลอร์เห็นผลในทันที 2) ลักษณะการออกฤทธิ์ การฉีด SCULPTRA ใช้การกระตุ้นเซลล์ fibroblast ให้สร้างเส้นใยคอลลาเจนใหม่ ส่วนฟิลเลอร์เป็นการให้ HA เติมเต็มเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง 3) เวลาในการคงสภาพผลลัพธ์ การฉีด SCULPTRA อยู่ได้ประมาณ 2 ปี ขณะที่ฟิลเลอร์อยู่ได้ไม่เกิน 1 ปี 4) จำนวนครั้งที่ฉีด SCULPTRA ส่วนใหญ่จะฉีด 2-3 ครั้ง ห่างกัน 6-8 สัปดาห์ ขณะที่ฟิลเลอร์มักจะฉีดเพียงครั้งเดียวในตำแหน่งที่ทำหัตถการ และสุดท้าย 5) ประสิทธิภาพในการกระตุ้นคอลลาเจน การฉีด SCULPTRA ช่วยเพิ่ม Collagen type 1 ได้ถึงร้อยละ 66 หลังฉีด 3 เดือน ขณะที่การฉีดฟิลเลอร์ไม่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติในร่างกายได้

ถาม
ตอบ

ต้องฉีด SCULPTRA กี่ครั้งจึงจะเห็นผล?

ก่อนฉีด SCULPTRA แพทย์ผิวหนังจะตรวจสุขภาพผิวและปัญหาผิวในเบื้องต้นก่อนเพื่อประเมินว่าคนไข้แต่ละรายต้องได้รับการฉีด SCULPTRA กี่เข็มให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ดังนั้นจำนวนเข็มจึงไม่เท่ากัน ส่วนใหญ่ฉีดระหว่าง 1-4 ครั้ง กรรีที่มีปัญหาสุขภาพผิวเยอะอาจต้องฉีดถึง 3 ครั้ง เว้นระยะห่างกันทุก 6-8 สัปดาห์ เพื่อให้ได้รับผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ

ถาม
ตอบ

การฉีด SCULPTRA ต่างกับการฉีดรีจูรันอย่างไร?

“รีจูรัน” เป็นสารประเภท Polynucleotide (PN) ซึ่งเป็นสารพันธุกรรมของปลาแซลมอนที่มีลำดับเบสใกล้เคียงกับ DNA ของมนุษย์ เมื่อเข้าสู่ชั้นผิวจะช่วยกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ Fibroblast ทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนมากขึ้น สร้างเซลล์เนื้อเยื่อใหม่และฟื้นฟูเซลล์ผิวเดิมที่ถูกทำลาย ทำให้ผิวแข็งแรง รวมถึงการสร้างเนื้อเยื่อใหม่เพื่อเติมเต็มหลุมสิว ในขณะที่ PLLA ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของ SCULPTRA เป็นสารสกัดจากพืช เน้นกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เหมาะกับคนที่ต้องการให้ผิวอิ่มฟู ยกกระชับผิว ลดริ้วรอย

ถาม
ตอบ

การฉีด SCULPTRA สงวนไว้สำหรับบุคคลกลุ่มใดบ้าง?

ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 18 ปี, หญิงตั้งครรภ์ และให้นมบุตร, ผู้ที่กินยากดภูมิคุ้มกัน, ห้ามใช้ในผู้ที่มีประวัติแพ้ส่วนประกอบของ Sculptra ได้แก่ Poly-L-lactic acid (PLLA), Carboxymethylcellulose (CMC) , Non-pyrogenic mannitol, ผู้ที่มีโรคประจำตัวภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmune, SLE), ผู้ที่มีการติดเชื้อที่ผิวหนังหรือเกิดการอักเสบในตำแหน่งที่ทำ, มีปัญหาเลือดออกง่าย เลือดหยุดไหลยาก หรือรับประทานยาละลายลิ่มเลือด ยาต้านเกล็ดเลือด เช่น Aspirin , Warfarin เป็นต้น

หัตถการของศูนย์ผิวหนังและเลเซอร์

เกร็ดความรู้

เพิ่มเติม