หากร่างกายคุณเป็นชายแต่ใจเป็นหญิง รู้สึกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่สิ่งที่ต้องการอีกต่อไป วันนี้คุณสามารถเปลี่ยนแปลงเพศเป็นอย่างที่ใจต้องการได้ด้วย “การผ่าตัด แปลงเพศชายเป็นหญิง” โดยเทคนิคการผ่าตัดที่ทันสมัยและปลอดภัย สามารถสร้างอวัยวะเพศหญิงให้ได้ใกล้เคียงธรรมชาติ สามารถใช้งานได้จริง มีเพศสัมพันธ์ได้ ช่องคลอดมีความลึก กว้าง เป็นธรรมชาติตามสรีระของแต่ละคน รวมถึงการรับความรู้สึกทางเพศที่ไม่ด้อยไปกว่าเดิมอีกด้วย ก่อนเข้ารับการผ่าตัดควรปรึกษาศัลยแพทย์ เพื่อศึกษาคุณสมบัติ เทคนิคต่างๆ การเตรียมตัว ขั้นตอนการดูแลตัวเอง รวมถึงผลลัพธ์หลังแปลงเพศ เพราะการได้รับทราบรายละเอียดอย่างรอบด้าน จะเป็นการช่วยในการตัดสินใจทำและคลายความกังวลไปได้
“ศัลยกรรมแปลงเพศ” ตามนิยามของข้อบังคับแพทยสภาประเทศไทย* หมายถึง การผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนเพศจากชายเป็นหญิง หรือหญิงเป็นชาย รวมถึงการรักษาที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศอย่างถาวร
สำหรับความหมายที่เข้าใจได้ง่ายสำหรับบุคคลทั่วไป หมายถึง การผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์และฟังก์ชั่นการทำงานของอวัยวะเพศเดิมไปยังเพศที่ต้องการ ดังนั้น ศัลยกรรมแปลงเพศชายเป็นหญิง จึงหมายถึงการผ่าตัดเพื่อสร้างอวัยวะเพศหญิง ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) การสร้างอวัยวะเพศภายนอกแบบเพศหญิง (vulva)
2) การสร้างช่องคลอดหรือช่องสืบพันธุ์ (neovagina)
โดยทั่วไปการทำศัลยกรรมแปลงเพศมักจะกระทำเป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการข้ามเพศ ซึ่งหลักการข้ามเพศประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ เริ่มจากระดับที่น้อยไปหามาก เช่น การใช้ชีวิตในแบบเพศตรงข้าม การใช้ฮอร์โมนเพื่อการข้ามเพศ และการทำศัลยกรรมร่างกายส่วนอื่นที่มีความซับซ้อนน้อยกว่า เป็นต้น
ศัลยกรรมแปลงเพศเป็นการผ่าตัดในจุดซ่อนเร้น มีวัตถุประสงค์เพื่อเติมเต็มความต้องการทางจิตใจเป็นหลัก และเนื่องจากเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่มีความซับซ้อน เมื่อกระทำไปแล้วจะไม่สามารถทำให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก ดังนั้นผู้ที่จะเข้ารับการผ่าตัดจะต้องผ่านเกณฑ์ประเมินของสมาคมคนข้ามเพศนานาชาติ หรือ World Professional Association for Transgender Health (WPATH)** เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อผ่าตัดไปแล้วจะสามารถใช้ชีวิตในเพศที่ต้องการได้ และลดโอกาสที่จะเกิดการ “ตัดสินใจผิดพลาด” ในการเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศ (regression after sex reassignment surgery)
การเตรียมความพร้อมสำหรับการผ่าตัดแปลงเพศ เริ่มต้นด้วยการซักประวัติ ความต้องการในการเป็นเพศตรงข้าม และขั้นตอนในการข้ามเพศที่ได้กระทำมาแล้ว จากนั้นแพทย์จะทำการตรวจร่างกายและประเมินความพร้อมในการผ่าตัด ตามเกณฑ์ประเมินดังนี้
หลังจากนั้น แพทย์จะทำการตรวจสุขภาพ ตรวจเลือดและเอ็กซเรย์ ซึ่งถ้าหากพบว่ามีความผิดปกติหรือมีโรคประจำตัว จะส่งปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อร่วมประเมินด้วย
ในกรณีที่คนไข้รับประทานยาหรืออาหารเสริมอยู่ ซึ่งอาจมีฤทธิ์ทำให้เลือดออกง่าย เช่น ยาแอสไพริน (aspirin) โคลพิโดเกรล (clopidogrel) สมุนไพร เช่น ถั่งเช่า แปะก๊วย โสม กระเทียม น้ำมันตับปลา คอลลาเจน และวิตามินอี จะต้องหยุดรับประทานก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันไม่ให้เสียเลือดมากระหว่างการผ่าตัด
ควรหยุดยาฮอร์โมนข้ามเพศทุกชนิดก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อป้องกันภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำระหว่างการผ่าตัด (deep venous thrombosis)
คนไข้ที่สูบบุหรี่หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบนิโคติน เช่น บุหรี่ไฟฟ้า หมากฝรั่งนิโคติน หรือแผ่นแปะสำหรับเลิกบุหรี่ ต้องหยุดใช้ ก่อนและหลังผ่าตัดอย่างน้อย 2 เดือน เนื่องจากนิโคตินจะส่งผลให้แผลผ่าตัดหายช้าลง สำหรับผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ควรงดดื่ม 1 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด และนอกจากนี้ในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด ควรรับประทานอาหารอ่อนที่มีกากน้อย เพื่อเตรียมลำไส้ให้สะอาด รวมทั้งรักษาสุขอนามัยอวัยวะเพศ ด้วยการล้างทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่าหรือสบู่สำหรับจุดซ่อนเร้น
การผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง แบ่งได้เป็น 2 แบบใหญ่ ๆ ตามเทคนิคที่ใช้สร้างช่องคลอด ได้แก่
1) เทคนิคต่อกราฟ
2) เทคนิคที่ใช้เนื้อเยื่อจากช่องท้อง ได้แก่ การต่อลำไส้ และเยื่อบุช่องท้อง
เทคนิคนี้เป็นการนำเอาผิวหนังของถุงอัณฑะ (scrotal skin graft) สอดกลับเข้าไปเพื่อสร้างเป็นช่องคลอดใหม่ ส่วนรูปลักษณ์ภายนอกตกแต่งให้เหมือนอวัยวะเพศหญิงทุกประการ โดยเก็บเส้นประสาทรับความรู้สึกไว้ที่คลิตอริส แคมใน และรอบท่อปัสสาวะ วิธีนี้ผ่าตัดเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศเท่านั้น ไม่ต้องผ่าตัดช่องท้อง ใช้ระยะเวลาในการผ่าตัดประมาณ 4 – 6 ชั่วโมง เหมาะสำหรับผู้ที่เข้ารับการแปลงเพศเป็นครั้งแรก และมีผิวหนังอวัยวะเพศเพียงพอ
เทคนิคต่อกราฟ หมายถึง การผ่าตัดแปลงเพศโดยใช้ผิวหนังอวัยวะเพศเดิมมาสร้างเป็นช่องคลอดใหม่ วิธีนี้ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดช่องท้อง และหลีกเลี่ยงการเกิดแผลเป็นบริเวณหน้าท้องได้ ความลึกของช่องคลอดจะขึ้นอยู่กับสรีระของอุ้งเชิงกรานคนไข้เป็นหลัก โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 5.5-6 นิ้ว
เทคนิคต่อกราฟเป็นวิธีมาตรฐานสำหรับการผ่าตัดแปลงเพศครั้งแรก มีความซับซ้อนไม่มาก และความเสี่ยงไม่สูง อย่างไรก็ตามหลังผ่าตัดจะต้องมีการดูแลช่องคลอดใหม่ด้วยการขยายช่องคลอด (แยงโม) อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วง 1 ปีแรก
เทคนิคต่อกราฟ จะสามารถสร้างอวัยวะเพศหญิงภายนอกได้ครบถ้วนและสมบูรณ์ ซึ่งมีองค์ประกอบได้แก่ คลิตอริส (clitoris) กลีบหุ้มคลิตอริส (clitoral hood and frenulum) แคมนอก (labia majora) แคมใน (labia minora) และรูเปิดท่อปัสสาวะ (urethral orifice) อีกทั้งยังสามารถเก็บเส้นประสาทรับความรู้สึกในจุดต่าง ๆ ไว้ได้ครบถ้วนอีกด้วย
ในกรณีที่คนไข้มีผิวหนังอวัยวะเพศน้อย ซึ่งอาจไม่เพียงพอในการต่อกราฟ แต่ไม่ต้องการที่จะผ่าตัดช่องท้อง สามารถเลือกวิธีต่อกราฟ โดยใช้ผิวหนังจากบริเวณอื่นได้เช่นกัน เช่น จากขาหนีบหรือต้นขา แต่ข้อเสียคือจะมีรอยแผลเป็นเพิ่มเติมในบริเวณที่นำผิวหนังมาใช้
คนไข้จะนอนโรงพยาบาล 8 คืน ได้แก่ ก่อนผ่าตัด 1 คืน และหลังผ่าตัด 7 คืน
3 วันแรกหลังผ่าตัด แพทย์จะยังไม่อนุญาตให้คนไข้ลุกจากเตียง ให้รับประทานอาหารอ่อน และจะมีผ้าก๊อซปิดแผลไว้สองชั้น มีสายสวนปัสสาวะและสายเดรนคาไว้
ในวันที่ 4 แพทย์จะเปิดผ้าก๊อซชั้นนอกออก และอนุญาตให้ลุกจากเตียงได้
ในวันที่ 7 แพทย์จะเปิดผ้าก๊อซออกทั้งหมด ถอดสายสวนปัสสาวะ และสายเดรนออก และสอนให้ขยายช่องคลอด และหากไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ สามารถกลับบ้านได้
หลังผ่าตัดด้วยเทคนิคต่อกราฟ ควรหยุดพักรักษาตัวประมาณ 1 เดือน เพราะจะยังเคลื่อนไหวได้ไม่สะดวก และต้องขยายช่องคลอดทุกวัน โดยแพทย์จะนัดตรวจติดตามจนกว่าแผลผ่าตัดจะหายดี
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
สามารถสร้างอวัยวะเพศภายนอกได้ครบถ้วนสมบูรณ์
|
โอกาสช่องคลอดจะตื้นและตีบตันสูง หากดูแลได้ไม่ดีพอ ต้องใส่วัสดุขยาย ช่องคลอดเทียมอย่างสม่ำเสมอ
|
สามารถสร้างอวัยวะเพศภายนอกได้ครบถ้วนสมบูรณ์ได้ช่องคลอดที่มีความลึกและใช้งานได้จริง
|
ไม่มีสารหล่อลื่นภายในช่องคลอด
|
ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดช่องท้อง ไม่รบกวนต่ออวัยวะในช่องท้อง
|
อาจมีแผลเป็นเพิ่มเติมในกรณีที่นำกราฟจากบริเวณอื่นมาใช้
|
ไม่เสี่ยงเป็นแผลเป็นนูนบนหน้าท้อง
|
เหมาะกับคนไข้ที่มีองคชาตขนาดค่อนข้างเล็ก หรือผ่านการขลิบมาก่อน โดยนำลำไส้ใหญ่บางส่วน ประมาณ 7-8 นิ้ว มาสร้างเป็นผนังช่องคลอด จะใช้ระยะเวลาในการผ่าตัดประมาณ 6 – 7 ชั่วโมง
เทคนิคการต่อลำไส้ต้องทำการผ่าตัดช่องท้อง และใช้ลำไส้ใหญ่มาสร้างเป็นช่องคลอด วิธีนี้มีข้อดีคือสามารถสร้างช่องคลอดที่มีความลึกได้มากขึ้น มีความคงทนแข็งแรง และไม่มีการตีบตัน อย่างไรก็ตามบริเวณ “ปากทางเข้าช่องคลอด” ยังสามารถตีบแคบลงได้ จากการหดตัวของบาดแผล ดังนั้นผู้ที่แปลงเพศด้วยวิธีนี้จึงยังต้องขยายช่องคลอด เพื่อป้องกันการหดแคบลงของบริเวณปากทางเข้า
เทคนิคการต่อลำไส้ มักใช้ในการผ่าตัดแก้ไขเพิ่มความลึก หรืออาจทำเป็นการผ่าตัดครั้งแรกก็ได้ ในกรณีที่คนไข้มีผิวหนังอวัยวะเพศน้อย โดยลักษณะของอวัยวะเพศภายนอกจะเหมือนกับแบบต่อกราฟทุกประการ
ผนังช่องคลอดที่สร้างจากลำไส้จะมีเยื่อเมือก ซึ่งมีลักษณะเหนียวข้น และขังอยู่ภายใน ดังนั้นบริเวณปากทางเข้าจึงมักจะแห้ง แพทย์จึงแนะนำให้ใช้สารหล่อลื่นทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันการเกิดบาดแผลถลอกจากการเสียดสี
ผู้ที่ผ่าตัดแปลงเพศด้วยการต่อลำไส้ จะต้องมีการดูแลตนเองในระยะยาวมากกว่าเทคนิคอื่น ๆ จะต้องตรวจติดตามกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ หมั่นคอยตรวจเช็คว่าปากทางเข้ายังคงเปิด เพื่อให้เมือกสามารถระบายออกมาได้ มิเช่นนั้นอาจเกิดภาวะช่องคลอดอุดตัน (neovaginal closed loop obstruction) และหากต้องการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วยการส่องกล้อง จะต้องส่องกล้องตรวจภายในช่องคลอดด้วย นอกจากนี้การผ่าตัดเข้าไปในช่องท้อง อาจทำให้เกิดพังผืด (adhesion band) ซึ่งอาจทำให้มีอาการปวดท้องขึ้นในอนาคตได้
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
ช่องคลอดมีความลึก มีความคงทนแข็งแรง
|
ต้องผ่าตัดช่องท้องและต้องตัดต่อลำไส้
|
ผิวหนังในช่องคลอดที่เสมือนจริงกว่า
|
ปากทางเข้าช่องคลอดอาจตีบตันได้ ถ้าหากขยายได้ไม่ดี
|
โอกาสตีบน้อยกว่า
|
มีโอกาสเกิดโรคต่าง ๆ ของลำไส้ได้ เช่น มะเร็งลำไส้ ลำไส้อักเสบ
|
มีเยื่อเมือกภายในช่องคลอด
|
อาจเกิดพังผืด จากการผ่าตัดเข้าช่องท้อง
|
สามารถสร้างอวัยวะเพศภายนอกได้ครบถ้วนสมบูรณ์
|
มีแผลเป็นบริเวณหน้าท้อง
|
มีความรู้สึกทางเพศ และถึงจุดสุดยอดได้
|
พักฟื้นนาน
|
ค่าใช้จ่ายสูง
|
เทคนิคนี้เหมาะกับผู้ที่เคยผ่าตัดแปลงเพศด้วยวิธีการต่อกราฟมาแล้ว แต่มีปัญหาช่องคลอดตื้นลง และไม่ต้องการแก้ไขด้วยการต่อลำไส้ นอกจากนี้ยังสามารถทำได้ในผู้ต้องการผ่าตัดแปลงเพศครั้งแรก แต่มีผิวหนังอวัยวะเพศน้อยไม่เพียงพอสำหรับการต่อกราฟ หลังทำสามารถสร้างความลึกของช่องคลอดได้ประมาณ 6-6.5 นิ้ว
ขั้นตอนการผ่าตัด แพทย์จะส่องกล้องเพื่อนำเยื่อบุช่องท้องมาสร้างเป็นช่องคลอดใหม่ โดยส่วนบริเวณทางด้านหน้าจะยังคงเป็นผิวหนังอวัยวะเพศอยู่ (กราฟ) จากนั้นทำการเย็บเชื่อมต่อกราฟกับเยื่อบุช่องท้องที่ยืดลงมาจากด้านใน การแปลงเพศวิธีนี้จะทำให้ส่วนที่เป็นเยื่อบุมีความเรียบลื่น และในบางรายสามารถผลิตน้ำหล่อลื่นเองได้
เทคนิคการแปลงเพศโดยใช้เยื่อบุช่องท้อง จะต้องผ่าตัดช่องท้องเช่นเดียวกัน แต่จะใช้ผนังเยื่อบุช่องท้องมาสร้างเป็นช่องคลอดใหม่ (ไม่ต้อง ตัดต่อลำไส้) วิธีนี้มักจะใช้สำหรับผ่าตัดแก้ไข หรืออาจทำเป็นการผ่าตัดครั้งแรกก็ได้เช่นกัน ในกรณีที่คนไข้มีผิวหนังอวัยวะเพศน้อยไม่เพียงพอสำหรับการต่อกราฟ
เยื่อบุช่องท้องสามารถสร้างสารหล่อลื่นได้ ซึ่งมีลักษณะเป็นน้ำสีเหลืองใส อย่างไรก็ตามบริเวณปากทางเข้าช่องคลอดยังคงเป็นผิวหนัง ดังนั้น จึงอาจแห้งและเสี่ยงต่อการเกิดแผลถลอกได้เช่นกัน แพทย์จึงแนะนำให้ใช้สารหล่อลื่นทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
ลักษณะของอวัยวะเพศภายนอกที่ผ่าตัดด้วยเทคนิคเยื่อบุช่องท้อง จะเหมือนกับเทคนิคต่อกราฟและเทคนิคต่อลำไส้ทุกประการ
เทคนิคต่อลำไส้และเยื่อบุช่องท้อง คนไข้จะนอนโรงพยาบาล 4 คืน ได้แก่ ก่อนผ่าตัด 1 คืน และหลังผ่าตัด 3 คืน โดยแพทย์จะเปิดผ้าก๊อซปิดแผลทั้งหมดในวันที่ 4 ถอดสายสวนปัสสาวะและสายเดรนออก และสอนให้ขยายช่องคลอด และหากไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ สามารถกลับบ้านได้
หลังผ่าตัดแปลงเพศด้วยเทคนิคต่อลำไส้และเยื่อบุช่องท้อง ควรหยุดพักรักษาตัวประมาณ 1 เดือน ในกรณีผ่าตัดครั้งแรก และ 2 สัปดาห์ในกรณีผ่าตัดแก้ไข
ซึ่งเทคนิคการผ่าตัดทั้งสามแบบนี้เป็นส่วนที่อยู่ในช่องคลอดเท่านั้น หากดูจากภายนอก ทั้งสามแบบ จะมีรูปลักษณ์เหมือนกันทุกประการ แตกต่างกันที่ผนังด้านในของช่องคลอดจะบุด้วยอะไรเท่านั้นเอง
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
ช่องคลอดมีความลึกมากกว่าแบบกราฟ
|
ต้องผ่าตัดช่องท้อง
|
มีน้ำหล่อลื่นภายในช่องคลอด
|
รอยต่อของเยื่อบุช่องท้องบริเวณปากทางเข้าอาจตีบตันได้ ถ้าหากขยายได้ไม่ดี
|
สามารถสร้างอวัยวะเพศภายนอกได้ครบถ้วนสมบูรณ์
|
อาจเกิดพังผืด จากการผ่าตัดเข้าช่องท้อง
|
มีความรู้สึกทางเพศ และถึงจุดสุดยอดได้
|
มีแผลเป็นบริเวณหน้าท้อง
|
เทคนิคการผ่าตัดแปลงเพศแบบดั้งเดิมสามารถสร้างอวัยวะเพศหญิงที่คล้ายคลึงกับอวัยวะเพศหญิงตามธรรมชาติ แต่รอยแผลที่แคมใหญ่ยังคงเป็นปัญหาสำคัญ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ผู้เขียนจึงได้พัฒนาเทคนิคในการซ่อนรอยแผลภายในร่องระหว่างแคมใหญ่และแคมเล็ก ทำให้ความสวยงามของการผ่าตัดดียิ่งขึ้น
การมีรอยแผลผ่าตัดบนแคมใหญ่ (labia majora) อันเนื่องมาจากการผ่าตัดแปลงเพศแบบดั้งเดิม สร้างความกังวลอย่างมากสำหรับผู้ป่วยหลายคน จากข้อมูลทางการแพทย์ ยังไม่มีเทคนิคใดที่สามารถปกปิดรอยแผลบริเวณนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ผู้เขียนได้คิดค้นเทคนิคการเย็บแผลที่แคมใหญ่และซ่อนแผลไว้ในร่องระหว่างแคม จึงทำให้รอยแผลที่แคมใหญ่มองเห็นได้น้อยลง เทคนิคนี้เรียกว่า “การผ่าตัด แปลงเพศแบบซ่อนรอยแผล”
ในเทคนิคดั้งเดิม จะมีรอยแผลเป็นลักษณะโค้งผ่านกลางของแคมใหญ่ รอยแผลนี้เกิดจากการตัดแต่งผิวหนังถุงอัณฑะส่วนเกิน ซึ่งมักมองเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะในท่ายืน ดังนั้น ผู้หญิงข้ามเพศส่วนใหญ่จึงไม่ต้องการให้มีรอยแผลเป็นในบริเวณนี้ เพราะเป็นสิ่งบ่งบอกว่าได้รับการผ่าตัดแปลงเพศมา
การผ่าตัดแปลงเพศแบบซ่อนรอยแผล (ซ้าย) และการผ่าตัดแปลงเพศแบบซ่อนรอยตะเข็บ (ขวา)
การผ่าตัดแปลงเพศแพทย์จะทำการสร้างช่องคลอดที่มีความลึก เท่ากับความลึกของกระดูกเชิงกรานของคนไข้ในแต่ละรายซึ่งอาจไม่เท่ากัน โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 5.5-6 นิ้ว แต่ถ้าหากผ่าตัดด้วยเทคนิคต่อลำไส้หรือเยื่อบุช่องท้อง อาจมีความลึกเพิ่มมากขึ้นได้อีก 1-2 นิ้ว
แพทย์จะทำการเก็บเส้นประสาทที่รับความรู้สึก เพื่อสร้างเป็นจุดรับความรู้สึกต่าง ๆ ของอวัยวะเพศใหม่ ซึ่งประกอบด้วย คลิตอริส แคมใน และรอบท่อปัสสาวะ ซึ่งการกระตุ้นภายนอกจะมีความรู้สึกทางเพศได้ ส่วนภายในช่องคลอดจะไม่มีเส้นประสาทรับความรู้สึกโดยตรง แต่ในบางรายก็อาจมีความรู้สึกทางเพศได้เช่นกันจากการกระตุ้นบริเวณต่อมลูกหมาก (prostate gland)
ยาทาแผลมี 2 ชนิด คือ โพวิโดนไอโอดีนชนิดน้ำ (Povidone Iodine Solution) และชนิดเจล (Povidone Iodine Gel) ยาชนิดน้ำใช้สำหรับทาแผล “แคมนอก” ส่วนยาชนิดเจลใช้สำหรับทาแผลบริเวณแคมในและรอบท่อปัสสาวะ
ภายหลังขับถ่ายและขยายช่องคลอด ควรทำความสะอาดบาดแผลร่วมกับทายาทุกครั้ง และสวมใส่ผ้าอนามัยเพื่อซึมซับคราบเลือด โดยทั่วไปแผลผ่าตัดจะหายภายใน 2-3 สัปดาห์หากไม่มีภาวะแทรกซ้อน
ควรใช้วิธีการสวนล้างช่องคลอดทุกครั้งหลังขยายช่องคลอดเสร็จ โดยใช้น้ำเกลือผสมกับยาโพวิโดนไอโอดีนชนิดน้ำ ในอัตราส่วน 1:10 (เช่น ผสมน้ำ 100 ซีซี เข้ากับยา 10 ซีซี) ควรสวนล้างช่องคลอดครั้งละ 100-200 ซีซี
ห้ามนั่งยองหรือแยกขาก่อนที่แผลผ่าตัดจะหายสนิท เนื่องจากจะทำให้แผลปริแยกได้ ไม่ควรใช้น้ำสบู่สวนล้างช่องคลอดเพราะอาจเกิดการระคายเคืองได้ โดยทั่วไปแพทย์จะอนุญาตให้มีเพศสัมพันธ์ ภายหลังจากผ่าตัด 1-2 เดือน (เมื่อแผลภายในช่องคลอดหายสนิท) ส่วนกลิ่นภายในช่องคลอดอาจมีได้ในช่วง 3-6 เดือนแรกเนื่องจากยังมีคราบเลือดที่ยังหลงเหลืออยู่ ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัดและของหมักดอง เพราะอาจทำให้บริเวณที่ผ่าตัดบวมได้นาน
การแยงโมเป็นสิ่งที่จำเป็นโดยเฉพาะในช่วง 1 ปีแรกหลังผ่าตัด เนื่อง จากกระบวนการหายของบาดแผล จะทำให้มีการหดตัวของช่องคลอด (การหดตัวสามารถเกิดได้ทั้งในเทคนิคต่อกราฟ ต่อลำไส้ และเยื่อบุช่องท้อง) การหดตัวจะมีมากในช่วง 1 ปีแรก และค่อย ๆ ลดน้อยลงหลังจาก 1 ปีไปแล้ว
ควรใช้แท่งขยายช่องคลอดที่แพทย์จัดเตรียมไว้ให้ซึ่งมีความแข็งที่พอเหมาะ ในช่วง 1 ปีแรกควรขยายช่องคลอดวันละ 2 ครั้ง นานครั้งละ 30-60 นาที โดยเพิ่มขนาดของแท่งขยายตามที่แพทย์สั่ง หลังจาก 1 ปีไปแล้ว แนะนำให้ขยายช่องคลอดสัปดาห์ละ 1 ครั้ง โดยใช้แท่งขยายขนาดใหญ่สุด
สำหรับการขยายช่องคลอดด้วยซิลิโคนแบบนิ่ม สามารถใช้เสริมจากการขยายแบบปกติได้ โดยแนะนำให้สอดแท่งซิลิโคนไว้ในช่องคลอดขณะที่เข้านอน แล้วสวมกางเกงชั้นในเพื่อป้องกันไม่ให้แท่งซิลิโคนเลื่อนหลุดออกมา
เมื่อแปลงเพศ ไม่มีอวัยวะที่รู้สึกว่าเป็นส่วนเกินออกไปแล้ว ก็จะทำให้คุณเป็นผู้หญิงอย่างที่ใจต้องการ หรือหากใครที่อยากเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกให้เป็นผู้หญิงเพิ่มเติม ก็สามารถทำได้โดย เสริมหน้าอก , เสริมก้น ,กรอกระเดือก หรือ เปลี่ยนเสียง ก็จะทำให้คุณกลายเป็นผู้หญิงอย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากนี้หากใครที่เคยแปลงเพศแล้วแต่ไม่เหมือนธรรมชาติหรือช่องคลอดตื้นหรือตีบตัน ก็สามารถผ่าตัดแก้ไขได้เช่นเดียวกัน
ผ่าตัดแปลงเพศ
(เทคนิคเยื่อบุช่องท้อง)
พัก 9 คืน
580,000 บาท
ผ่าตัดแปลงเพศ
(เทคนิคต่อกราฟ)
พัก 9 คืน
290,000 บาท
ตกแต่งแคมหลังแปลงเพศ
พัก 1-3 คืน
61,000 บาท
แก้ไขผ่าตัดแปลงเพศด้วยลำไส้ใหญ่
พัก 5 คืน
340,000 บาท
แก้ไขผ่าตัดแปลงเพศด้วยลำไส้ใหญ่แบบส่องกล้อง
พัก 5 คืน
605,000 บาท
แปลงเพศแบบต่อลำไส้หรือเยื่อบุช่องท้อง ช่องคลอดมีสารหล่อลื่นในตัวเองจึงไม่จำเป็นต้องใช้เจลหล่อลื่นเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ใช่หรือไม่
ไม่ใช่ เนื่องจากบริเวณปากทางเข้าช่องคลอดยังคงเป็นกราฟ (ผิวหนัง) จึงมักจะแห้ง จึงแนะนำให้ใช้สารหล่อลื่นทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันการเกิดบาดแผลถลอกจากการเสียดสีบริเวณปากทางเข้า
แปลงเพศแบบต่อลำไส้หรือเยื่อบุช่องท้องมาแล้วไม่จำเป็นต้องขยายช่องคลอดใช่หรือไม่
ไม่ใช่ เพราะบริเวณปากทางเข้าช่องคลอดยังสามารถตีบแคบลงได้ จากการหดตัวของบาดแผล
ช่องคลอดใหม่มีโอกาสติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือไม่
การมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดใหม่ มีโอกาสติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เช่นเดียวกับช่องทางอื่น ๆ
ควรใช้ยาฮอร์โมนข้ามเพศหลังจากผ่าตัดแปลงเพศหรือไม่
ภายหลังจากผ่าตัดแปลงเพศ จะต้องใช้ยาฮอร์โมนเพศหญิงภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด“ภาวะวัยทองจากการผ่าตัด” หรือการขาดฮอร์โมนเพศอย่างฉับพลัน สำหรับหญิงข้ามเพศที่ใช้ฮอร์โมนเพศหญิงคู่กับยาต้านฮอร์โมนเพศชายก่อนผ่าตัด เมื่อทำการผ่าตัดแปลงเพศไปแล้วสามารถหยุดใช้ยาต้านฮอร์โมนเพศชายได้และใช้เฉพาะฮอร์โมนเพศหญิงเพียงอย่างเดียว
ควรตรวจติดตามกับแพทย์บ่อยแค่ไหน
ในช่วง 1 ปีแรกควรพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง เพื่อติดตามการหายของบาดแผล และตรวจความลึกของช่องคลอด หลังจาก 1 ปีไปแล้ว ควรพบแพทย์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้งเพื่อตรวจอวัยวะเพศภายนอกส่องกล้องตรวจภายใน
แพทยสภา. ข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม เรื่อง เกณฑ์การรักษาเพื่อแปลงเพศ พ.ศ. ๒๕๕๒. ราชก เล่ม ๑๒๖ ตอนพิเศษ ๗๗ ง. หน้า ๓๗๒๕๕๒.
Coleman E, Bockting W, Botzer M, Cohen-Kettenis P, DeCuypere G, Feldman J, et al. Standards of Care for the Health of Transsexual, Transgender, and Gender-Nonconforming People, Version 7 2012. Available from: https://www.wpath.org/ publications/soc.
บัญชีจำแนกโรคระหว่างประเทศ ฉบับที่ 11 (ICD-11) ซึ่งองค์การอนามัยโลกวางแผนจะประกาศใช้ในปี ค.ศ. 2022 ได้มีการปรับเปลี่ยนคำโดยเรียกภาวะนี้ว่า “gender incongruence of adolescence or adulthood” แทนคำว่า “gender dysphoria”