เคยไหม! ขณะออกกำลังกาย หรือทำอะไรรีบๆ ทำกิจกรรมหนักๆ จะมีอาการเจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก เหนื่อยง่าย เจ็บร้าวไปที่แขน คอ ขากรรไกร หรือหลัง รวมทั้งมีอาการเหงื่อออกหรือใจสั่นร่วมด้วย แต่หลังจากนั่งหรือนอนพักแล้ว อาการก็จะทุเลาลงและหายปวด แต่เมื่อเริ่มทำใหม่ก็จะเจ็บหน้าอกเหมือนเดิม บางครั้งก็เจ็บเองโดยที่ไม่ได้ออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมอะไรที่หนักๆ อาการเหล่านี้อาจเป็นอาการเตือน “โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ” ได้
โรคหลอดเลือดตัวใจตีบ หรือ โรคหัวใจขาดเลือด เป็นภาวะที่ผนังหลอดเลือดแดงแข็งและหนาตัว (Atherosclerosis) เนื่องจากหลอดเลือดแดงเสื่อมสภาพตามปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่ไปกระตุ้นให้ผนังด้านในหลอดเลือดแข็งและหนาตัวนั้น มีไขมันเกาะอยู่ภายในผนังหลอดเลือด ซึ่งจะค่อยๆ พอกตัวขึ้นทีละน้อย ทำให้ช่องทางเดินของเลือดตีบแคบลง ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้น้อยลง
เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก
เหนื่อยง่าย
เจ็บร้าวที่แขน คอ ขากรรไกร หรือหลัง
เหงื่อออกหรือใจสั่น มักเกิดขณะออกกำลังกาย หรือทำอะไรรีบๆ ทำกิจกรรมหนักๆ
หากคุณสงสัยว่าตัวเองเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ สามารถพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยได้ ซึ่งแพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากประวัติและอาการแสดง อาการปวดแน่น จุก บริเวณกลางหน้าอก แล้วปวดร้าวขึ้นไปที่คอ ไหล่ ขากรรไกร แล้วแพทย์อาจทำการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมด้วยการตรวจเลือดเพื่อดูเอ็นไซม์กล้ามเนื้อหัวใจ, ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ, การวิ่งสายพาน CT Coronary Angiography ตรวจสมรรถภาพหัวใจด้วย VO2MAX , CPET หรือพิจารณาการฉีดสีดูหลอดเลือดหัวใจ
เมื่อตรวจวินิจฉัยพบว่าเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ การรักษาสามารถทำได้ 3 วิธีหลัก ได้แก่
1.การใช้ยา |
2.การรักษาด้วยการทำบอลลูนเพื่อขยายหลอดเลือด |
ใส่ลวดค้ำยันผนังหลอดเลือดหัวใจไว้ ใช้ในกรณีที่มีอาการรุนแรง เจ็บหน้าอกบ่อย ทานยาแล้วยังไม่ได้ผล โดยแพทย์จะทำการฉีดสีตรวจหลอดเลือดหัวใจ และทำการรักษาโดยการขยายหลอดเลือดด้วยวิธีบอลลูน จากนั้นจึงใส่หลอดลวดตาข่ายหรือสเต็นท์ (Stent) ไว้ในหลอดเลือดบริเวณที่ตีบตัน การรักษาด้วยวิธีนี้อาจไม่สามารถทำได้ทุกราย
3.การผ่าตัดต่อหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ |
(เรียกว่า การผ่าตัดทำบายพาส) ใช้ในกรณีที่มีอาการรุนแรง หลอดเลือดหัวใจตีบหลายเส้น แพทย์จะทำการผ่าตัดนำหลอดเลือดดำส่วนอื่น เช่น หลอดเลือดดำที่ขา หรือหลอดเลือดแดง ที่ข้อมือไปเชื่อมต่อระหว่างหลอดเลือดหัวใจกับหลอดเลือดแดงใหญ่ เป็นการต่อเส้นเลือดใหม่คร่อมบริเวณเส้นเลือดที่ตีบ ซึ่งการรักษาด้วยวิธีนี้ขึ้นกับการตัดสินใจของแพทย์และผู้ป่วยร่วมกัน
การรักษาด้วยการสวนหัวใจขยายหลอดเลือด นอนพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลา 1–3 วัน ส่วนการผ่าตัดต่อหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจนอนพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลา 7-10 วัน ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน
เริ่มทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูสภาพหัวใจให้แข็งแรง หลัง 8 – 12 สัปดาห์
สามารถกลับไปทำงานได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงการทำงานหนัก ใช้แรงมาก
งดการมีเพศสัมพันธ์เป็นเวลา 4-5 สัปดาห์
พบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่องทุก 1 – 3 เดือน โดยในการนัดตรวจแต่ละครั้ง แพทย์จะตรวจร่างกายและปรับการใช้ยาให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของผู้ป่วย
นอกจากการดูแล การจัดยา และให้คำแนะนำการรักษาด้วยวิธีต่างๆ จากแพทย์แล้ว ในขณะเดียวกันผู้ป่วยต้องดูแลตัวเองร่วมด้วย โดยแพทย์จะแนะนำให้คนไข้ปฏิบัติตัวให้เหมาะสมกับโรค เช่น ไม่เครียด ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผัก ผลไม้ ไม่รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง อาหารที่มีรสจัด งดสูบบุหรี่และสิ่งของมึนเมา และมาพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ผู้ป่วยดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีชีวิตที่ยืนยาวได้
การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบนั้น ทางที่ดีควรเริ่มด้วยการป้องกัน ควบคุมปัจจัยเสี่ยง หากมีความจำเป็นต้องรักษา ความรวดเร็วและความพร้อมของทีมแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ จะช่วยให้อันตรายจากโรคหัวใจลดลงได้อย่างมาก หากมีปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบในกรณีฉุกเฉิน ทางศูนย์หัวใจโรงพยาบาลยันฮีมีห้องปฏิบัติการสวนหัวใจ(Cardiac Cath Lab) และทีมแพทย์ พยาบาลพร้อมให้การรักษาตลอด 24 ชั่วโมง
ศัลยกรรมตกแต่งและความงามยอดนิยม