chat

โรคจิตเภท (Schizophrenia)

จากรายงานเชิงสถิติของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยจิตเวช ร้อยละ 14.3 หรือ 7 ล้านคน โดยเป็นผู้ป่วยโรคจิตเภทร้อยละ 0.8 หรือราว 4 แสนคน การเข้าถึงบริการจิตเวชเพื่อรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพในระบบบริการสุขภาพยังน้อยมาก แม้ว่าจะมีความก้าวหน้าด้านบริการสุขภาพจิต มียาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นก็ตาม ปัญหาสุขภาพจิตจึงเป็นปัญหาใกล้ตัวที่ทุกคนไม่ควรมองข้ามเพราะส่งผลกระทบต่อผู้ป่วย สมาชิกในสังคม เพื่อนร่วมงาน เพื่อนบ้าน และสมาชิกในสังคม หากปรากฏอาการที่เข้าข่ายโรคจิตเภทควรรีบนำตัวมารับคำปรึกษาโดยจิตแพทย์ที่โรงพยาบาลยันฮี

ราคาปรึกษาแพทย์และรักษาโรคจิตเภทที่โรงพยาบาลยันฮี

โรคจิตเภท คืออะไร?

โรคจิตเภทเกิดจากอะไร?

โรคจิตเภทมีอาการอย่างไร?

การรักษาโรคจิตเภท

Q&A หลากคำถาม มีคำตอบ เกี่ยวกับ “โรคจิตเภท”

โรคจิตเภท คืออะไร?

โรคจิตเภท คืออะไร?

โรคจิตเภท (Schizophrenia) เป็นโรคที่มีความผิดปกติของบุคลิกภาพ ความคิด และการรับรู้ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ส่งผลให้แสดงออกมาในรูปแบบทางด้านอารมณ์ พฤติกรรม และก่อให้เกิดผลเสียต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การทำงาน การเรียน การเข้าสังคม การดูแลตนเอง เป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน โดยที่ผู้ป่วยต้องไม่มีโรคทางกาย โรคของสมอง พิษจากยาหรือสารต่างๆ ที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าว ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะเริ่มเป็นเมื่ออายุประมาณ 14-16 ปี หรือช่วงปลายวัยรุ่น โรคนี้พบได้ในอัตราส่วน 1 ต่อ 300 ของประชากรทั้งหมด คิดเป็นร้อยละ 0.32 ของประชากรทั่วโลก พบในเพศชายและเพศหญิงเท่าๆ กัน โดยในเพศชายมักเกิดอาการครั้งแรกในช่วงอายุ 10-25 ปี และเพศหญิงมักเกิดอาการครั้งแรกในช่วงอายุ 25-35 ปี

สาเหตุของโรคจิตเภท

ปัจจุบันยังไม่สามารถระบุสาเหตุแน่ชัดที่ทำให้เกิดโรคได้ แต่คาดว่าอาจมีปัจจัยเสี่ยงบางประการที่กระตุ้นให้เกิดโรคนี้ เช่น

1) ปัจจัยด้านกายภาพ

  • การสัมผัสสารพิษหรือได้รับเชื้อไวรัสขณะอยู่ในครรภ์มารดาหรือช่วงแรกเกิด
  • ภาวการณ์ขาดออกซิเจนในช่วงแรกเกิด
  • ภาวะขาดสารอาหารของทารกในครรภ์
  • พันธุกรรม ผู้ที่มีญาติป่วยเป็นโรคนี้ก็จะมีความเสี่ยงเป็นโรคมากกว่าในคนทั่วไป
  • ความผิดปกติของการทำงานของสมองหรือสารสื่อประสาทผิดปกติ เช่น โดปามัน
  • ผลกระทบจากสารเสพติด
  • ปัญหาจากสุขภาพทางกายบางอย่าง เช่น การติดเชื้อในสมอง โรคลมชัก โรคหลอดเลือดทางสมอง

2) ปัจจัยด้านจิตสังคม

  • กระบวนการภายในจิตใจ กลไกทางจิตที่มักใช้ในการเผชิญกับความเครียด
  • ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
  • การเลี้ยงดูจากครอบครัวในวัยเด็ก การสื่อสารแบบไม่ตรงไปตรงมา

โรคจิตเภทมีอาการอย่างไร?

อาการด้านบวก (positive symptoms) ได้แก่

อาการหลงผิด (delusion) คือ การมีความคิดหรือความเชื่อที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่น หลงผิดว่ามีคนจะมาทำร้าย หลงผิดว่าตนเองยิ่งใหญ่ มีอำนาจ เป็นต้น

อาการประสาทหลอน (prominent hallucination) คือ การกำหนดรู้ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีสิ่งเร้าภายนอก เช่น หูแว่วได้ยินเสียงคนพูดด้วยโดยที่มองไม่เห็นตัว เห็นภาพคน สัตว์ หรือสิ่งของโดยไม่มีสิ่งเหล่านั้นอยู่จริง เป็นต้น

การพูดแบบไม่มีระเบียบแบบแผน (disorganized speech) คือ การพูดในลักษณะที่ประโยคไม่สัมพันธ์กัน เช่น การเปลี่ยนเรื่องที่พูดจากเรื่องหนึ่งไปสู่อีกเรื่องหนึ่งซึ่งไม่มีความสัมพันธ์กันเลย เป็นต้น

พฤติกรรมแบบไม่มีระเบียบแบบแผน (disorganized behavior) คือ พฤติกรรมที่ผิดแปลกไปอย่าง มากจากธรรมเนียมปฏิบัติของคนทั่วไปในสังคม เช่น ไม่ใส่เสื้อผ้า เล่นอุจจาระ ปัสสาวะ เป็นต้น

พฤติกรรมเคลื่อนไหวผิดแปลกไปจากปกติ (catatonic behavior) เช่น การเคลื่อนไหวมากเกินไป น้อยเกินไป หรือนิ่งแข็งอยู่กับที่

อาการด้านลบ (negative symptoms) ได้แก่

อารมณ์ทื่อ (blunted affect) และเฉยเมย

ความคิดอ่านและการพูดลดลง

ขาดความสนใจในการเข้าสังคมและกิจกรรมที่เคยสนใจ

ไม่ดูแลสุขภาพอนามัยส่วนตัว

อาการด้านการรู้คิด (cognitive symptoms) ได้แก่

ความสามารถในการจัดการ การตัดสินใจ การวางแผน (executive function) ลดลง

ความสามารถในการคงความใส่ใจ (attention) ลดลง

ความจำเพื่อใช้งาน (working memory) บกพร่องคือความสามารถในการจดจำข้อมูลเฉพาะหน้า ทั้งนี้ อาการเริ่มต้นของโรคจิตเภทอาจเกิดในแบบฉับพลันทันที หรือเกิดแบบค่อยเป็นค่อยไปก็ได้ ในกรณีที่อาการเริ่มต้นแบบค่อยเป็นค่อยไป จะมีอาการเริ่มต้นอย่างช้าๆ อาจมีอาการสับสน ทำให้ครอบครัวและคนรอบข้างรู้สึกว่าผู้ป่วยเปลี่ยนไปจากบุคลิกภาพเดิม เช่น แยกตัว ไม่อยากสุงสิงกับใคร หวาดระแวงคนอื่น มีปัญหาการนอนหลับ หมดความสนใจต่อรอบตัว

การรักษาโรคจิตเภท

1) รักษาด้วยการใช้ยา เป็นการรักษาที่มีความสำคัญอย่างมากสำหรับโรคจิตเภทในทุกขั้นตอนของการรักษาเพื่อควบคุมให้อาการสงบ ผลของยาจะทำให้อาการและพฤติกรรมที่วุ่นวาย ความคิดที่สับสนของผู้ป่วยสงบลง ป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วยและบุคคลใกล้ชิด ฤทธิ์ของการรักษาอาจต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์กว่าจะเห็นผล ดังนั้น ในระยะแรกของการรักษาในรายที่มีอาการรุนแรงจึงต้องให้ยากลุ่ม Benzodiazepine ร่วมกับยา Antipsychotics ไปด้วย หลังอาการในช่วงแรกสงบยังจำเป็นต้องได้รับยาต่อเนื่องเพื่อควบคุมอาการไปอีกอย่างน้อย 6 เดือน ไม่ควรปรับลดหรือหยุดยาเอง เพราะการลดยาลงเร็วเกินไปหรือหยุดยาในช่วงนี้อาจทำให้อาการกำเริบขึ้นได้ และจะมีผลให้การรักษาต่อไปลำบากขึ้น

การรักษาโรคจิตเภท

2) การรักษาด้วยไฟฟ้า (Electroconvulsive therapy ECT) คือ การใช้กระแสไฟฟ้าระดับต่ำผ่านเข้าสู่สมองเพื่อปรับเปลี่ยนการทำงานของสมอง ซึ่งจิตแพทย์เป็นผู้ประเมินความจำเป็นของการรักษาด้วยวิธีนี้เฉพาะกรณีอาการรุนแรง รักษาด้วยยาไม่ได้ผล เป็นทางเลือกสุดท้ายของการรักษา

การรักษาโรคจิตเภท

3)การรักษาทางจิตสังคม (Psychosocial Intervention) เป็นอีกส่วนสำคัญของการรักษา เนื่องจากอาการของผู้ป่วยมักก่อให้เกิดปัญหาระหว่างตัวผู้ป่วยและสังคม การรักษาทางจิตสังคมสามารถทำหลายวิธีร่วมกันได้ เช่น จิตบำบัด การให้คำปรึกษาครอบครัว, การบำบัดทางความคิด-พฤติกรรม, การให้ความรู้ทางสุขภาพจิต, ฝึกทักษะทางสังคม, ฟื้นฟูอาชีพ เป็นต้น

การรักษาโรคจิตเภท

ราคาปรึกษาแพทย์และรักษา โรคจิตเภท ที่โรงพยาบาลยันฮี

ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของจิตแพทย์ตามอาการของคนไข้แต่ละบุคคล

Q&A หลากคำถาม มีคำตอบ เกี่ยวกับ โรคจิตเภท

ถาม
ตอบ

โรคจิตเภทมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีกหรือไม่?

‘โรคจิตเภท’ เป็นโรคเรื้อรังที่มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้บ่อย โดยปัจจัยสำคัญ คือ ขาดการรักษาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น หากผู้รักษาสามารถวินิจฉัย และให้การดูแลเบื้องต้นด้วยยาและการดูแลทางจิตสังคมร่วมกับญาติมีการติดตามดูแลต่อเนื่องเพื่อป้องกันการขาดยา จะช่วยลดความรุนแรงและช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติหรือใกล้เคียงปกติ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการกลับเป็นซํ้า ได้แก่ 1.การได้รับยาไม่สมํ่าเสมอหรือขาดยา จะส่งผลให้การกลับเป็นซํ้าน้อยกว่าการที่ผู้ป่วยกินยาเองตามลำพัง 2. มีภาวะที่ทำให้ผู้ป่วยกังวลหรือขาดความมั่นใจในการดูแลตนเอง 3. ขาดความสามารถในการทำหน้าที่ได้ปกติเหมือนผู้อื่น 4. ญาติมีท่าทีในด้านลบต่อผู้ป่วยหรือทอดทิ้งไม่ดูแล 5. การใช้สารเสพติด ได้แก่ บุหรี่ สุรา ยาบ้า กัญชา ฯลฯ

ถาม
ตอบ

โรคจิตเภทเฉียบพลัน (brief psychotic disorder) เป็นอย่างไร?

ผู้ป่วยมีอาการเปลี่ยนจากเดิมที่ปกติดีไปสู่ภาวะที่มีโรคจิตชัดเจนภายใน 2 สัปดาห์ มักเป็นหลังจากประสบเหตุการณ์กดดันรุนแรง ผู้ป่วยจะมีอาการพูดจาสับสน วกวน ประสาทหลอน หลงผิดอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง อาจมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย มีท่าทีงุนงง สับสน ระยะเวลาที่ผู้ป่วยมีอาการนานอย่างน้อย 1 วัน แต่ไม่เกิน 1 เดือน

แพทย์ผู้เขียนบทความ