ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีคนจำนวนมากที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำงาน การแชท การเล่นเกมในคอมพิวเตอร์ และในโทรศัพท์ เพลิดเพลินอยู่กับหน้าจอท่องโลกออนไลน์ จนทำให้เผลอลืมใส่ใจในการดูแลสุขภาพ ไม่ได้สังเกตอาการเตือน ที่เป็นสัญญาณเริ่มแรกว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายของเรา มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่อาการผิดปกติรุนแรงไปแล้ว อย่างเช่น ปวดข้อมือ ปวดแขน นิ้วชา เจ็บแปลบ มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นต้น
ในปัจจุบันโรคยอดฮิตของพฤติกรรมในการใช้มือที่สัมพันธ์กับการทำสิ่งเดิมๆ ซ้ำกันเป็นเวลานาน และมีแนวโน้มที่จะเกิดโรคนี้กันมากขึ้น นั่นก็คือ โรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ หรือพังผืดกดทับเส้นประสาทข้อมือ (CTS)
เป็นโรคในกลุ่มการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ ที่เกิดขึ้นเนื่องจากเกิดพังผืดที่หนาตัวขึ้นบริเวณข้อมือด้านฝ่ามือ ไปกดทับถูกเส้นประสาทมีเดียน (median nerve) ซึ่งอยู่ผ่านช่องข้อมือแขนงไปยังนิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วหัวแม่มือ โดยเมื่อเส้นประสาทถูกกดทับ จะทำให้มีอาการปวดและชาตามนิ้ว และถ้าเส้นประสาทถูกกดทับนานๆ ก็จะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณฝ่ามือ ด้านนิ้วหัวแม่มือลีบและเล็กลง
เป็นโรคที่พบได้บ่อยในวัยกลางคน พบได้บ้างในวัยสูงอายุ โดยทั่วไปทั้งผู้ชายและผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ แต่มักพบว่าเพศหญิงเป็นโรคนี้มากกว่า สาเหตุเกิดจากการมีความดันเพิ่มขึ้นในโพรงข้อมือ (Carpal tunnel) ซึ่งโพรงข้อมือนี้จะอยู่บริเวณฝ่ามือ ภายในโพรงข้อมือจะประกอบไปด้วยเส้นเอ็น เยื่อหุ้มเอ็น และเส้นประสาทที่ใช้ในการงอนิ้ว ซึ่งเส้นประสาทนี้คือเส้นประสาทมีเดียน(Median nerve) ซึ่งเป็นเส้นประสาทที่ทำให้เกิดพยาธิสภาพในโรคนี้
จากการวิจัยทั้งในและต่างประเทศพบว่า ผู้ที่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้สูงที่สุด คือ
กลุ่มผู้ที่ใช้งานข้อมือในท่าเดิมๆ เป็นเวลานาน เช่น คนที่ทำงานคอมพิวเตอร์ ที่ต้องใช้เมาส์กดแป้นคีย์บอร์ด การเย็บผ้า ถักนิตติ้ง
กลุ่มใช้ข้อมือเป็นจุดหมุน หรือการงอมือเป็นเวลานาน เช่น การกวาดบ้านนานๆ การรีดผ้า การหิ้วถุงที่มีการงอข้อมือ การสั่นกระแทกในลักษณะการทำงานก่อสร้าง งานคอนกรีต หรือเกิดจากอายุที่มากขึ้น ทำให้พังผืดเกิดการหนาตัว นอกจากนี้ผู้ที่มีข้อมือค่อนข้างกลมจะมีโอกาสเกิดโรคนี้สูงไปด้วย
อาการของโรคนี้มักเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป อาจแสดงอาการเพียงชั่วคราวในช่วงแรก และกำเริบบ่อยขึ้นหรือมีอาการนานมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยมักเริ่มมีอาการตอนกลางคืนหรือหลังตื่นนอน มักรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้ขยับหรือสะบัดมือ อาการจะชัดเจนมากขึ้นหลังจากทำงานที่ต้องเคลื่อนไหวข้อมือ หรือใช้ข้อมือหยิบจับและถือสิ่งของเป็นเวลานาน เช่น ทำงานบ้าน ซักผ้า บิดผ้า หั่นเนื้อสัตว์ ตำน้ำพริก ใช้โทรศัพท์ อ่านหนังสือ จับพวงมาลัยขณะขับรถ เป็นต้น
แพทย์จะวินิจฉัยจากการซักประวัติ เพื่อทำการแยกโรคที่เป็นสาเหตุ ร่วมกับการตรวจร่างกายเพิ่มเติม ด้วยวิธีอื่นๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์ ดังนี้
1. การตรวจมือ
2. การตรวจการนำไฟฟ้าของเส้นประสาท(Electrodiagnosis) เป็นการช่วยยืนยันในการวินิจฉัย และพยากรณ์ โรค
3. การตรวจด้วยรังสีวิทยา
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น พักมือหลังใช้งานเป็นเวลานาน หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจทำให้อาการแย่ลง เช่นงานในลักษณะเกร็งข้อมือนานๆ งานที่ต้องใช้มือกระดกขึ้น รวมถึงงานที่มีการสั่นกระแทก จนทำให้ความดันในโพรงข้อมือสูงขึ้นด้วย ร่วมกับการประคบเย็นเมื่อมือบวม เพื่อชะลอหรือป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดกับเส้นประสาทมีเดียนที่ข้อมือ
การใส่เฝือกและอุปกรณ์ช่วยพยุง เพื่อจัดวางให้เส้นประสาทมีเดียนอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ไม่ตึงตัว หรือถูกกดทับ โดยเฉพาะเมื่อผู้ป่วยต้องนอนหลับ หรือทำกิจกรรมที่อาจทำให้อาการของโรคแย่ลง
การทำกายภาพบำบัดมือ นักกายภาพบำบัดจะแนะนำวิธีและขั้นตอนการทำกายภาพบำบัด บริเวณข้อมือ เพื่อให้เส้นประสาทมีเดียนเคลื่อนไหวในช่องข้อมือได้สะดวกขึ้น
การรับประทานยาแก้อักเสบกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน นาพรอกเซน และแอสไพริน
การใช้ยาสเตียรอยด์ ได้แก่ การฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์กับคอร์ติโซน เช่น ลิโดเคน เข้าไปในโพรงข้อมือรอบๆ เส้นประสาท และการรับประทานยาเพรดนิโซโลน เพื่อลดการอักเสบและอาการปวด บางรายอาจหายได้ พบว่าได้ผลดีเฉลี่ย 40-50 เปอร์เซ็นต์ แต่การรักษาด้วยวิธีนี้มักได้ผลเพียงชั่วคราว และไม่ควรใช้รักษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะของโรค และปัจจัยอื่นๆ
การรักษาโรคประจำตัวอื่นๆ ผู้ป่วยโรคเบาหวานและข้ออักเสบ ควรเข้ารับการรักษาและควบคุมอาการของโรคนั้นๆ ให้ดีเสมอ เพื่อป้องกันอาการกำเริบหรือผลข้างเคียงอื่นๆ ที่เป็นอันตราย
หากการรักษาเบื้องต้นไม่ประสบความสำเร็จ และผู้ป่วยมีอาการชามากขึ้น รวมถึงในรายที่มีอาการมากหรือกล้ามเนื้อเริ่มอ่อนแรงหรือลีบลง และไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา อาจจำเป็นต้องรับการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด ซึ่งจะรักษาให้โรคนี้หายขาดได้
มีหลายวิธี โดยวิธีที่ศัลยแพทย์นิยมทำ และยังถือว่าเป็นวิธีมาตรฐาน ได้แก่
การผ่าตัดแบบเปิด(open carpal tunnel release)
คือแพทย์จะทำการผ่าตั้งแต่ข้อมือถึงฝ่ามือ ซึ่งจะทำให้เกิดแผลยาวประมาณ 5 – 6 เซนติเมตร เปิดให้เห็นเส้นประสาทได้โดยตรง และสามารถทำผ่าตัดอื่นๆ ร่วมด้วยได้ เช่นตัดเยื่อหุ้มเอ็นออกด้วยเป็นต้น โดยทำในห้องผ่าตัด ด้วยวิธีการวางยาสลบ หรือฉีดยาที่เส้นประสาทบริเวณคอ-รักแร้ หรืออาจทำภายใต้ยาชา ซึ่งปัจจุบันนิยมทำภายใต้ยาชามากขึ้น เนื่องจากค่อนข้างปลอดภัย ผู้ป่วยไม่ต้องงดน้ำ งดอาหาร และการผ่าตัดสามารถทำได้ด้วยความราบรื่น
หลังการผ่าตัด ช่วงแรกผู้ป่วยควรยกมือขึ้นให้อยู่เหนือระดับหัวใจ และขยับมือเพื่อลดอาการบวมและตึง ใส่เฝือกหรืออุปกรณ์พยุงข้อมือ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น หลีกเลี่ยงการขับรถ ไม่หยิบจับสิ่งของที่มีน้ำหนักมาก เป็นต้น เพื่อช่วยให้การรักษาได้ผลดียิ่งขึ้นจนกว่าจะหายเป็นปกติ ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางรายอาจใช้เวลานานกว่า 6-12 เดือนในการฟื้นตัวและหายเป็นปกติ ซึ่งระหว่างนี้ผู้ป่วยอาจรู้สึกชาและอ่อนแรงเล็กน้อยบริเวณมือและข้อมือได้
หากไม่อยากเป็นโรคยอดฮิตในยุคนี้ เพียงแค่เราเอาใจใส่ตัวเองสักนิด ปรับท่าทางขณะที่ทำงานให้มีลักษณะที่ถูกต้อง เหมาะสม ลดพฤติกรรมเสี่ยงในชีวิตประจำวันลงบ้าง ออกกำลัง บริหารข้อมือเป็นพักๆ ก็ช่วยทำให้ถนอมข้อมือของเราให้ห่างไกลจากโรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ หรือพังผืดกดทับเส้นประสาทที่ข้อมือได้แล้ว เพราะนอกจากพฤติกรรมของการใช้มือจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคนี้ ยังสามารถทำให้เกิด โรคนิ้วล็อค (Trigger finger) อีกหนึ่งโรคยอดฮิตของมือได้อีกด้วย
ศัลยกรรมตกแต่งและความงามยอดนิยม